วันเสาร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2555


บทที่ 3 คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล
          คอมพิวเตอร์ ( Computer ) เป็นอุปกรณ์ที่ประกอบด้วยวงจรอิเล็กทรอนิกส์และไอซี ( Integrated Circuit: IC )
ต่างๆมากมาย ซึ่งสามารถจดจำ  ประมวลผลข้อมูล เปรียบเทียบ ตัดสินใจทาง ตรรกศาสตร์ คำนวณทางคณิตศาสตร์ 
สามารถใช้ช่วยในการออกแบบและสร้างงานกราฟิกได้ อีกทั้งยังตอบสนอง ความต้องการทางด้านอื่นๆ ได้อย่างหลากหลาย


         องค์ประกอบของระบบคอมพิวเตอร์ 
ระบบคอมพิวเตอร์ประกอบด้วยองค์ประกอบสำคัญ 5 ส่วนด้วยกัน คือ 
หน่วยรับข้อมูล ( input unit ) ทำหน้าที่รับข้อมูลหรือคำสั่งต่างๆ จากผู้ใช้อุปกรณ์รับข้อมูลซึ่งจะถูกส่งเข้าไปทำการประมวลผลต่อไป
หน่วยประมวลผลกลาง ( central processor unit ) หรือ CPU ประมวลผลคำสั่ง ซึ่งทำงานร่วมกับหน่วยอื่นๆ
หน่วยความจำหลัก ( memory unit ) ทำหน้าที่เก็บโปรแกรมที่คอมพิวเตอร์กำลังประมวล และเป็นที่พักข้อมูลระหว่างที่ซีพียูกำลังประมวลผล
หน่วยแสดงผลลัพธ์ (output unit )  แสดงหรือส่งข้อมูลที่ได้จากการประมวลผลจากซีพียูมาให้ผู้ใช้ได้รับทราบ
หน่วยเก็บข้อมูลสำรอง (secondary storage unit ) เก็บข้อมูลแบบสำรองบนคอมพิวเตอร์


ระบบการทํางานของคอมพิวเตอร์
การทํางานของคอมพิวเตอร์ แบ่งออกเป็น 4 ส่วน ดังนี้
1. หน่วยรับข้อมูล (Input Unit) 
           ทําหน้าที่ในการรับข้อมูลหรือคําสั่งจากภายนอกเข้าไปเก็บไว้ในหน่วยความจํา เพื่อเตรียมประมวลผล
ข้อมูลที่ต้องการ
  ซึ่งอุปกรณ์ที่ใช้ในการนําข้อมูลที่ใช้กันอยู่ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันนั้น  มีอยู่หลายประเภทด้วย
กันสําหรับอุปกรณ์ที่นิยมใช้ในปัจจุบันมี ดังต่อไปนี้
            

- Keyboard            
- Mouse            


- Disk Drive            


- Hard Drive           


- CD-Rom            


- Magnetic Tape            


- Card Reader            


- Scanner 


2. หน่วยประมวลผลกลาง (Central Processing Unit)    ทํ าหน้าที่ในการคํานวณและประมวลผล แบ่งออกเป็น 2 หน่วยย่อย คือ            
- หน่วยควบคุม  ทําหน้าที่ในการดูแล ควบคุมลําดับขั้นตอนของการประมวลผล และการทํางานของอุปกรณ์ต่างๆ ภายในหน่วยประมวลผลกลาง  และช่วยประสานงานระหว่างหน่วยประมวลผลกลาง กับ อุปกรณ์นําเข้าข้อมูล 
อุปกรณ์ในการแสดงผล และหน่วยความจําสํารอง            
- หน่วยคํานวณและตรรก ทําหน้าที่ในการคํานวณและเปรียบเทียบข้อมูลต่างๆ ที่ส่งมาจากหน่วยควบคุม และหน่วยความจํา


3. หน่วยความจํ า (Memory) 
           ทําหน้าที่ในการเก็บข้อมูลหรือคําสั่งต่างๆ ที่รับจากภายนอกเข้ามาเก็บไว้ เพื่อประมวลผลและยัง
เก็บผลที่ได้จากการประมวลผลไว้เพื่อแสดงผลอีกด้วย ซึ่งแบ่งออกเป็น
หน่วยความจํา เป็นหน่วยความจําที่มีอยู่ 
ในตัวเครื่องคอมพิวเตอร์ ทําหน้าที่ในการเก็บคําสั่งหรือข้อมูล แบ่งออกเป็น            
- ROM หน่วยความจําแบบถาวร            
- RAM หน่วยความจําแบบชั่วคราว            
หน่วยความจําสํารอง    เป็นหน่วยความจําที่อยู่นอกเครื่อง มีหน้าที่ช่วยให้หน่วยความจําหลักสามารถเก็บ ข้อมูลได้มากขึ้น


4. หน่วยแสดงผล (Output Unit) 
           ทําหน้าที่ในการแสดงผลลัทธ์ที่ได้หลังจากการคํานวณและประมวลผล สําหรับอุปกรณ์ที่ ทําหน้าที่
ในการแสดงผลข้อมูลที่ได้นั้นมีต่อไปนี้
            
- Monitor จอภาพ           
 - Printer เครื่องพิมพ์            



- Plotter เครื่องพิมพ์ที่ใช้ปากกาในการเขียนข้อมูลต่างๆ ที่ต้องการลงกระดาษ


ส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์
เมนบอร์ด (Mainboard, mother board) หรือ แผงวงจรหลัก เป็นหัวใจสำคัญที่สุดที่อยู่ภายในเครื่อง เมื่อเปิดฝาเครื่องออกมาจะเป็นแผงวงจรขนาดใหญ่วางนอนอยู่ นั่นคือส่วนที่เรียกว่า "เมนบอร์ด"
ส่วนประกอบหลักที่สำคัญบนเมนบอร์ดคือ
  ซ็อคเก็ตสำหรับซีพียู


  ชิปเซ็ต (Chip set)


  ซ็อคเก็ตสำหรับหน่วยความจำ


  ระบบบัสและสล็อต

  Bios
  สัญญาณนาฬิกาของระบบ
  ถ่านหรือแบตเตอรี่


  ขั้วต่อสายแหล่งจ่ายไฟ


  ขั้วต่อสวิทช์และไฟหน้าเครื่อง


  จัมเปอร์สำหรับกำหนดการทำงานของเมนบอร์ด


  ขั้วต่อ IDE


  ขั้วต่อ Floppy disk drive

  พอร์ตอนุกรมและพอร์ตขนาน


  พอร์ตคีย์บอร์ดและเมาส์


  พอร์ต USB



การเลือกซื้อคอมพิวเตอร์ให้เหมาะสมกับการใช้งาน      
          คอมพิวเตอร์รุ่นโบราณของคุณมีเสียงหวีดในขณะเปิดเครื่องใช่หรือไม่ คุณพิมพ์ได้เร็วกว่าตัวอักษรที่ปรากฏบนจอใช่ไหม คุณเบื่อที่จะต้องนั่งมองดูนาฬิกาทรายของ Windows นานเป็นเวลาหลายนาทีในการทำงานแต่ละครั้งใช่หรือไม่อาจถึงเวลาเปลี่ยนคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะเครื่องใหม่ได้แล้ว ปัจจุบัน ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ต่างยังคงประสบกับปัญหาธุรกิจตกต่ำอยู่ ในขณะที่ผู้ผลิตส่วนประกอบต่างก็ผลิตอุปกรณ์ของตนให้สามารถทำงานได้เร็วขึ้น มีราคาถูกลง และด้วยขนาดที่เล็กลง ผลลัพธ์คือคุณได้เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ทรงประสิทธิภาพมีสิ่งต่างๆ ให้คุณได้ใช้มากมาย ผู้เขียนคงไม่สามารถระบุเครื่องแบบเฉพาะเจาะจงได้ เนื่องจากเมื่อถึงเวลาที่คุณอ่านบทความนี้ เครื่องดังกล่าวอาจไม่มีจำหน่ายแล้วก็ได้ แต่เราจะมาพิจารณาส่วนประกอบต่างๆ ที่ประกอบเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ และใช้คำอธิบายเหล่านี้ในการตัดสินใจเลือกสิ่งที่คุณต้องการ

ไมโครโปรเซสเซอร์
ไมโครโปรเซสเซอร์เป็นส่วนที่มีราคาแพงที่สุด ไมโครโปรเซสเซอร์สำหรับเครื่อง Windows จะผลิตโดย Intel และ AMDสำหรับเครื่อง Apples จะผลิตโดย IBM และ Motorola และนี่เป็นคำแนะนำข้อแรก นั่นคือ ไม่ควรกังวลมากเกินไปว่าใครเป็นผู้ผลิตชิพ เนื่องจากผู้ผลิตทั้ง 4 รายต่างดีหมด สำหรับเครื่อง Windows คุณสามารถเลือกใช้ชิพรุ่นต่างๆ ได้ เช่น AMD Athlon XP, Intel Pentium 4 และ Intel Celeron ซึ่งเป็นชิพราคาประหยัด ส่วน Pentium 4 และ Athlon XP เป็นชิพระดับสูง สำหรับPentium 4 ซึ่งเป็นชิพที่มีความเร็วสูงสุดจะรันอยู่ที่ 3.2 กิกะเฮิรตซ์ ซึ่งเป็นความเร็วที่สูงมาก แต่ก็มีราคาแพงมากเช่นกัน ส่วนชิพรุ่นใกล้เคียงกันคือชิพ AMD รุ่น 3200+ จะมีราคาต่ำกว่าเล็กน้อยคุณอาจต้องใช้ชิพความเร็วสูงเหล่านี้ หากคุณต้องตัดต่อวิดีโอ หรือทำงานเกี่ยวกับการออกแบบที่ใช้คอมพิวเตอร์ช่วย (CAD) หรือใช้เล่นเกมส์ขั้นสูง หากคุณไม่ต้องใช้งานดังกล่าว ให้พิจารณาชิพที่มีความเร็ว 2.4 GHz ถึง 2.6 GHz (หรือ 2400+ to 2600+ ในเครื่องที่ใช้ชิพ AMD) ซึ่งมีราคาถูกกว่า และมีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับชิพราคาสูงชิพCeleron ของ Intel เป็นชิพราคาประหยัด

 หากคุณใช้คอมพิวเตอร์ในงานสำนักงานทั่วไปและท่องเน็ต คุณอาจไม่เห็นความแตกต่างระหว่างชิพ Celeron รุ่นสูงกับชิพ Pentium 4 ที่มีความเร็วเท่ากัน แต่คุณสามารถประหยัดเงินได้บางส่วนหากใช้ชิพ Celeron ชิพ Apple และ AMD ทำงานด้วยความเร็วที่ช้ากว่าชิพที่ผลิตจาก Intelโดยที่ AMD ใช้เครื่องหมาย + ในชื่อรุ่น เช่น 3200+ เพื่อต้องการสื่อความหมายว่าชิพนั้นมีความเร็วมากกว่าไมโครโปรเซสเซอร์ของ Intel ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงทำงานช้ากว่า และจากการทดสอบผลที่ได้ก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ แต่ทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นการทดสอบในห้องปฏิบัติการ ในการใช้งานคุณจะไม่เห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน
Apple อ้างว่าเครื่องระดับสูงของตนมีความเร็วกว่าเครื่องที่รันด้วย Windows นั่นก็ยังเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันอยู่ และมีเว็บไซต์ต่างๆ ที่โจมตีข้ออ้างดังกล่าวของ Apple ชิพของ Apple รันด้วยความเร็วที่ต่ำกว่ามาก จึงเป็นการยากที่จะเปรียบเทียบกันโดยตรง และหากว่าคุณสนใจที่จะใช้เครื่อง Apple ให้ทำการทดสอบเปรียบเทียบกับเครื่อง Windows ในร้านจำหน่าย เครื่อง Apple มีราคาแพงกว่าเครื่อง Windowsทั้ง Apple และ AMD ต่างก็มีไมโครโปรเซสเซอร์รุ่นใหม่ขนาด 64 บิต (รุ่นของ Windows จะวางจำหน่ายในครึ่งปีแรกของปี2004) และสามารถประมวลผลข้อมูลได้ด้วยความเร็วเป็น 2 เท่าของชิพขนาด 32 บิต แต่ในปัจจุบันยังไม่มีโปรแกรมใดที่สามารถใช้ประโยชน์จากประสิทธิภาพนี้ได้ ในอนาคตอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ แต่สำหรับขณะนี้ ชิพราคาแพงเหล่านี้ยังไม่สามารถใช้ให้คุ้มค่าได้



ระบบปฏิบัติการ
การเปรียบเทียบระหว่าง Windows XP และ OS X ของ Apple ก็มีความยากลำบากเช่นกัน แต่ก็ไม่มีความจำเป็นต้องทำเช่นนั้น ทั้งสองชนิดมีความเสถียรและความเร็วพอกัน คุณอาจพอใจที่จะใช้เครื่องใดเครื่องหนึ่งก็ได้
Windows XP มีอยู่ 2 รุ่น คือ Home และ Professional โดย Windows XP Professional เป็นรุ่นที่ใหญ่กว่ารุ่น Home คือมีคุณสมบัติดีๆ ทั้งหมดของรุ่น Home เสริมด้วยคุณสมบัติอื่นๆ ซึ่งส่วนมากเป็นความสามารถด้านเครือข่าย Professional จะแพงกว่าประมาณ $200 (AUD) ขึ้นไปแต่รุ่นดังกล่าวมีคุณลักษณะที่มีประโยชน์อยู่หลายประการ เช่น เดสก์ท็อประยะไกล ที่ให้คุณเข้าใช้คอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์อีกเครื่องหนึ่ง ตัวอย่างเช่น คุณสามารถล็อกออนเข้าเครื่องที่สำนักงานได้จากบ้านและเช็คอีเมลของคุณได้ และยังให้คุณสามารถเข้ารหัสไฟล์และโฟลเดอร์ได้อีกด้วย
หน่วยความจำ RAM (Random Access Memory)คุณต้องใช้หน่วยความจำอย่างน้อย 256 MB แต่หากว่าคุณสามารถรองรับค่าใช้จ่ายได้ ให้ใช้ขนาด 512 MB ผู้เขียนเองจะใช้ขนาด 1 GB หากต้องใช้กับโปรแกรมที่ต้องการหน่วยความจำมาก เช่น การตัดต่อวิดีโอ เป็นต้น หน่วยความจำมีราคาถูก คุณจึงไม่ควรตระหนี่ในเรื่องดังกล่าวผู้เขียนมีเพื่อนคนหนึ่งซึ่งใช้คอมพิวเตอร์เครื่องเก่าที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Windows XP และหน่วยความจำขนาด 128 MB บริษัทMicrosoft แจ้งว่าขนาดดังกล่าวสามารถใช้งานได้ ซึ่งก็ถูก แต่เป็นการทำงานได้แบบไม่ค่อยดีนัก เธอไม่สามารถรัน Microsoft Word ในเครื่องดังกล่าวได้ เหตุผลคือหน่วยความจำไม่เพียงพอที่จะรันทั้ง Windows XP และ Word จึงควรซื้อหน่วยความจำเพิ่มขึ้น เพราะอย่างที่บอกก็คือ หน่วยความจำมีราคาไม่แพง ฮาร์ดดิสก์ที่มีขนาดใหญ่ขึ้น
เมื่อพิจารณาเกี่ยวกับเรื่องฮาร์ดดิสก์ หากคุณต้องทำงานที่เกี่ยวข้องกับวิดีโอเป็นส่วนใหญ่ คุณต้องใช้ฮาร์ดดิสก์ขนาดใหญ่ ยิ่งมีขนาดใหญ่มากเท่าใด ก็ยิ่งดีเท่านั้น เพราะไฟล์วิดีโอมีขนาดใหญ่มาก ปัจจุบัน ฮาร์ดดิสก์ขนาด 200 ถึง 250 GB มีอยู่อย่างแพร่หลายและราคาไม่แพง
แต่ถ้าไม่ต้องใช้งานดังที่กล่าวมา ฮาร์ดดิสก์ขนาดใหญ่ที่มีอยู่ในปัจจุบันสามารถสนองตอบความต้องการของลูกค้าได้อย่างเพียงพอ เพราะแม้แต่เครื่องระดับล่างก็ยังมีฮาร์ดดิสก์ขนาด 40 GB ซึ่งคิดว่าคุณคงใช้ไม่หมด จึงขอแนะนำให้นำเงินส่วนเกินนี้ไปใช้จ่ายอย่างอื่นจะดีกว่า



ระบบวิดีโอ
ระบบวิดีโอจะส่งภาพไปยังจอภาพ คอมพิวเตอร์ราคาถูกจำนวนมากจะใช้ RAM ของระบบหลักในการรันวิดีโอ โดยฝังวิดีโอโปรเซสเซอร์ลงในเมนบอร์ด ซึ่งสามารถทำงานได้ แต่ไม่น่าพึงพอใจ
เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ดีกว่าจะมีบอร์ดวงจรแยกออกต่างหาก เรียกว่าการ์ดจอ การ์ดดังกล่าวจะประกอบด้วยวิดีโอโปรเซสเซอร์และหน่วยความจำ สำหรับการ์ดจอแล้ว หน่วยความจำ RAM ขนาดมาตรฐานคือ 64 MB ซึ่งเพียงพอต่อการใช้งานประจำวันได้เป็นอย่างดี
อย่างไรก็ตาม หากว่าคุณต้องใช้งานวิดีโอหรือเล่นเกมส์ขั้นสูง ให้ใช้การ์ดจอที่มี RAM ขนาด 128 MB ส่วนผู้เล่นเกมส์อย่างจริงจังอาจต้องใช้ RAM ขนาด 256 MB


จอภาพ
คุณจำเป็นต้องซื้อจอภาพหรือไม่ คนส่วนมากซื้อจอภาพโดยไม่ได้คิด จอภาพไม่จำเป็นที่จะต้องมาพร้อมกับคอมพิวเตอร์ มีบ่อยครั้ง ที่คุณสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายโดยการไม่เอาจอภาพ ทำไมจึงทำเช่นนั้น ก็เพราะว่า หากคุณพอใจกับจอภาพปัจจุบันที่ใช้งานอยู่ จอภาพนั้นก็สามารถใช้งานได้ดีกับคอมพิวเตอร์เครื่องใหม่ของคุณได้เช่นกัน
มีจอภาพพื้นฐานอยู่ 2 ประเภท คือจอชนิด CRT และจอแบน จอ CRT จะมีราคาถูกกว่ามาก และควรซื้อจอภาพ CRT ที่มีขนาดตั้งแต่ 17 นิ้วขึ้นไป โปรดระลึกไว้ว่า การวัดขนาดจอภาพเป็นการวัดตามเส้นทแยงมุม โดยรวมส่วนที่หลบอยู่ใต้กรอบภาพด้วย ทำให้จอภาพ CRT ขนาด 17 นิ้ว จะมีส่วนที่สามารถมองเห็นได้เพียง 16 นิ้วหรือน้อยกว่านั้น
จอภาพประเภทจอแบนจะมีราคาแพงกว่าประเภท CRT มาก จอแบนแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ อะนาล็อกและดิจิทัล สัญญาณดิจิทัลเกิดจากคอมพิวเตอร์อยู่แล้วจึงไม่ต้องแปลงสัญญาณ ส่วนจอภาพอะนาล็อกนั้น จะต้องให้ระบบวิดีโอแปลงสัญญาณดิจิทัลจากคอมพิวเตอร์ให้เป็นอะนาล็อกเสียก่อน จึงจะแสดงภาพได้ ผู้ใช้บางคนเห็นว่าสัญญาณดิจิทัลให้ภาพที่คมชัดมากกว่า


CD และ DVD
คอมพิวเตอร์ทุกเครื่องจะมีออปติคัลไดรฟ์ ซึ่งอาจเป็น CD หรือ DVD นอกจากนี้ คอมพิวเตอร์ทุกเครื่องยกเว้นเครื่องราคาถูก จะมีเครื่องบันทึกหรือ 'Burner' ("Burning" คือกระบวนการบันทึก CD หรือ DVD) เครื่องบันทึก CD-RW เป็นเครื่องที่ใช้กันแพร่หลายในปัจจุบัน แต่เครื่องบันทึก DVD จะมีในคอมพิวเตอร์ที่มีราคาแพงกว่า
DVD ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก แต่มีปัญหาเรื่องมาตรฐานรูปแบบที่ไม่สามารถใช้ร่วมกันได้ คุณอาจเห็นไดรฟ์DVD+R/RW หรือ DVD-R/RW ในเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งทั้งสองระบบไม่สามารถใช้ร่วมกันได้ แต่เครื่องเล่นส่วนมากสามารถเล่นแผ่น R ที่บันทึกจากระบบทั้งสองได้ R หมายถึงแผ่นที่สามารถบันทึกได้เพียงครั้งเดียว ส่วน RW ย่อมาจาก Rewriteableซึ่งหมายความว่าแผ่นดังกล่าวสามารถบันทึกได้หลายๆ ครั้ง เครื่องบันทึก DVD สามารถบันทึกแผ่น CD ได้เช่นกัน
ผู้เขียนขอแนะนำว่าคุณควรซื้อ CD-RW เป็นอย่างน้อย
คำแนะนำส่งท้าย: ผู้เขียนเคยได้ยินคนจำนวนมากถามว่า ควรซื้อคอมพิวเตอร์เมื่อใดจึงจะเหมาะที่สุด ทุกวันนี้ มีคอมพิวเตอร์รุ่นที่เร็วกว่า ดีกว่า เยี่ยมกว่า เจ๋งกว่า ใหญ่กว่าหรือเล็กกว่า ออกวางจำหน่ายอยู่ตลอดเวลา จึงขอแนะนำว่า หากคุณต้องการใช้คอมพิวเตอร์ ก็ให้ซื้อได้ทันที




เริ่มต้นการดูแลรักษา ตรวจสอบเครื่องคอมพิวเตอร์
1.            สภาพภายนอก แนะนำให้ทำความสะอาดสักนิด อย่างน้อยก็เพื่ออนามัย และสุขภาพของคุณเอง คุณทราบหรือไม่ แป้นพิมพ์หรือคีย์บอร์ด มันสกปรกขนาดไหน (ลองคิดเล่นๆ ดูว่า วันๆ คุณหยิบจับอาหาร และใช้งานแป้นพิมพ์ หรือไม่ และฝุ่นละอองข้างๆ มีมากน้อยเพียงใด) ควรทำสะอาดบ้าง อย่างน้อย สัปดาห์ละ ครั้ง

2.            สายไฟ สายสัญญาณต่างๆ หลวม หรือหักชำรุดหรือไม่ แนะเสียบปลั๊กแล้ว ไฟติดๆ ดับๆ บ่อยๆ แนะนำให้รีบแก้ไข ถ้าแก้ไขไม่ได้ ให้รีบซื้อเปลี่ยนใหม่ดีกว่า ไฟติดๆ ดับๆ บ่อยๆ มีบ่อยกับคอมพิวเตอร์อย่างมาก วันดี คืนดี อาจเปิดไม่ติดเลย


3.            พื้นที่ว่างบนฮาร์ดดิสก์ หลังจากเปิด Windows เข้ามาแล้ว ลองเช็คพื้นที่ในฮาร์ดดิสก์ เสียก่อนว่า เหลือเท่าไหร่ ถ้าเหลือน้อยกว่า 500 MB ก็ควรพิจารณาเพื่มพื้นที่ว่างได้แล้ว โดยเฉพาะกับ Drive C: (ซึ่งเป็นที่เก็บโปรแกรม) แนะนำให้สำรองข้อมูล โดยเฉพาะไฟล์ต่างๆ?ทีอยู่ใน My Documents ออกไปบ้าง หรืออาจสำรองลงDrive อื่นๆ (ถ้ามี)
4.            ตรวจสอบสภาพฮาร์ดดิสก์ นอกเหนือเรื่องพื้นที่ว่างแล้ว สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ การตรวจสอบฮาร์ดดิสก์ว่ามีจุดไหนเสียหรือไม่ วิธีการไม่จำเป็นต้องแกะเครื่องคอมฯ มาตรวจสอบ เพียงแค่ใช้โปรแกรมช่วยตรวจสอบ ประเภท Disk Defragment ก็สามารถเช็คได้แล้วว่า ฮาร์ดดิสก์ของเรามี "Bad Sector" หรือไม่ (Bad Sectorเป็นจุดเสียของฮาร์ดดิสก์) ถ้ามี แนะนำให้รีบสำรองข้อมูล และเปลี่ยนฮาร์ดดิสก์ไปเลยจะปลอดภัยกว่า
5.            ตรวจสอบไวรัสบ้าง ถึงแม้ว่าเราจะมีโปรแกรม Antivirus แล้วก็ตาม เราก็ยังคงจำเป็นต้องมีการตรวจสอบไวรัสอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง และที่สำคัญก็ควรอัปเดทโปรแกรมแบบออนไลน์ให้ทันสมัยอยู่เสมอด้วยเช่นกัน
แค่นี้ก็ช่วยลดปัญหาคอมพิวเตอร์ของคุณได้มากแล้ว :)


By ; นายรุ่งโรจน์  กาหวงศ์  ม.4/1  เลขที่ 11